การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 หรือรู้จักกันในชื่อ ยูโร 2008 (UEFA Euro 2008) เป็นการแข่งขันฟุตบอลยูโร ครั้งที่ 13 จัดขึ้นที่ประเทศออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 7-29 มิถุนายน พ.ศ.2551 โดยทีมชาติกรีซเป็นแชมป์การแข่งขันก่อนหน้า การแข่งขันฟุตบอลยูโรครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่มีเจ้าภาพร่วม ถัดจาก ยูโร 2000 ซึ่งมีเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพร่วม ยูโร 2008 รอบสุดท้ายมีทีมเข้าแข่งขันทั้งหมด 16 ทีม โดยออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ได้สิทธิ์เข้ารอบอัตโนมัติในฐานะเจ้าภาพ ส่วนอีก 14 ทีมจะคัดเลือกโดยเริ่มแข่งขันตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ผู้ชนะของการแข่งขันคราวนี้จะได้สิทธิไปแข่งขันใน คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 ที่จัดขึ้นที่ประเทศแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งไม่เป็นการบังคับที่จะต้องเข้าร่วม ข้อกำหนดของยูโร 2008
ใน รอบคัดเลือก จะประกอบไปด้วยทีมจากประเทศต่างๆ 50 ชาติ แบ่งเป็นกลุ่มทั้งหมด 7 กลุ่ม ตั้งแต่ กลุ่ม A ไปจนถึง กลุ่ม F โดยที่กลุ่ม A ประกอบด้วยทีมจากชาติต่างๆ 8 ทีม ในขณะที่ กลุ่ม B ไปจนถึง กลุ่ม F ประกอบไปด้วย ทีมจากชาติต่างๆ กลุ่มละ 7 ทีม
โดยในรอบคัดเลือกนี้ จะมีทีมที่ได้สิทธิเป็นทีมยืนของแต่ละกลุ่ม โดยกรรมการจะยูฟ่าจะพิจารณา จาก ผลงานของทีมในอดีต เช่น เคยเป็นแชมป์ในอดีตมาก่อน ทำผลงานได้ดีในฟุตบอลโลก 2006 ที่เพิ่งจะจบไป รวมถึงผลงานในฟุตบอลยูโรปี 2002 และ 2004 หลังจากนั้น ทีมที่เหลือจะถูกกระจายไปยังกลุ่มต่างๆ ด้วยการพิจารณาจากคณะกรรมการยูฟ่า
จาก นั้น จะทำการแข่งขันในรอบคัดเลือก จนกระทั่ง ได้ทีมตัวแทนของแต่ละกลุ่ม คือ ทีมที่มีคะแนนรวมเป็นอันดับหนึ่งและสองของแต่ละกลุ่ม รวม 14 ทีม ไปเล่นรอบแรกที่ออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีอีก 2 ทีมเจ้าภาพ รออยู่แล้ว
ทั้ง 16 ทีม
จะถูกแบ่งกลุ่มอีกครั้ง เป็น 4 กลุ่ม คือ A, B, C และ D โดยแข่งขันแบบพบกันหมดในแต่ละกลุ่ม
ทีม ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับแรก และอันดับสอง ของแต่ละกลุ่ม จะได้เข้าไปเล่นในรอบถัดไป (Quater Final) โดยแข่งขันกันทั้งหมด 4 คู่ ทีมที่ชนะ 4 ทีม จะเข้าสู่รอบถัดไป หรือรอบรองชนะเลิศ (Semi Final)
การแข่งขัน 2 คู่ ในรอบรองชนะเลิศ จะได้ทีมผู้ชนะ 2 ทีมไปแข่งนัดชิงชนะเลิศกันในวันที่ 29 มิถุนายน 2008
กลุ่ม A
ประกอบไปด้วยทีมชาติ อาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจัน, คาซัคสถาน, เบลเยี่ยม, ฟินแลนด์, โปรตุเกส, เซอร์เบีย และ โปแลนด์
กลุ่ม B
ประกอบไปด้วยทีมชาติ ฝรั่งเศส, ยูเครน, อิตาลี, สก็อตแลนด์, ลิธัวเนีย, จอร์เจีย และ หมู่เกาะฟาโร
กลุ่มC
ประกอบไปด้วยทีมชาติ ฮังการี, มอลตา, มอลโตวา, นอร์เวย์, ตุรกี, บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา และ กรีซ
กลุ่ม D
ประกอบไปด้วยทีมชาติ เวลส์, สโลวาเกีย, สาธารณรัฐไอร์แลนด์, สาธารณรัฐเช็ค, ไซปรัส, ซาน มาริโน่ และ เยอรมันนี
กลุ่ม E
ประกอบไปด้วยทีมชาติ รัสเซีย, อิสราเอล, โครเอเทีย, อังกฤษ, มาเซโดเนีย, เอสโทเนีย และ อันดอรร์ร่า
กลุ่ม F
ประกอบไปด้วยทีมชาติ สเปน, สวีเดน, ไอร์แลนด์เหนือ, ลัตเวีย, ลิคเคนสไตน์, ไอซ์แลนด์ และ เดนมาร์ก
กลุ่ม G
ประกอบไปด้วยทีมชาติ ลักเซมเบิร์ก, อัลแบเนีย, บัลแกเรีย, เบลารุส, สโลวาเนีย, เนเธอร์แลนด์ และ โรมาเนีย
แม้จะทำผลงานครั้งแรก ๆ ได้ไม่ดีนักเมื่อเริ่มต้นแข่งขันรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 แต่สเปนก็สามารถผ่านเข้ามาในรอบแบ่งกลุ่มของการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ ในช่วงนี้เองเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้จัดการทีมลุยส์ อาราโกเนสกับสื่อมวลชนสเปน ครั้งแรกในเรื่องผลการแข่งขันที่ผ่านมาซึ่งย่ำแย่ และครั้งที่ 2 ในเรื่อง "ข่าว" ความขัดแย้งกับอดีตกัปตันทีมชาติราอุล กอนซาเลซ
ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มสเปนอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับสวีเดน กรีซ และรัสเซีย ในนัดแรกที่พบกับรัสเซียนั้นผลออกมาคือสเปนชนะไป 4-1 โดยได้ 3 ประตูจากดาบิด บียา และอีก 1 ประตูจากเซสก์ ฟาเบรกัส ส่วนในนัดที่ 2 ที่พบกับสวีเดน สเปนก็ยังเอาชนะได้ด้วยคะแนน 2-1 จากการยิงของเฟร์นันโด ตอร์เรสและบียา และในนัดสุดท้ายที่พบกับแชมป์เก่ากรีซ สเปนสามารถเอาชนะได้เช่นกันด้วยคะแนน 1-2 โดยได้ประตูจากรูเบน เด ลา เรด และดานี กวีซา
ด้วยชัยชนะทั้งสามครั้งรวดทำให้สเปนอยู่ในอันดับที่ 1 ของกลุ่ม และต้องไปพบกับอิตาลีในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งสเปนสามารถยิงจุดโทษเอาชนะไปได้ 4-2 หลังจากต่อเวลาพิเศษแล้วยังเสมอกัน 0-0 ในนัดนี้อีเกร์ กาซียัส ผู้รักษาประตูฝ่ายสเปนสามารถหยุดลูกยิงจากฝ่ายตรงข้ามไว้ได้ 2 ลูก ส่วนผู้ทำประตูให้กับสเปนในนัดนี้ได้แก่ บียา, กาซอร์ลา, เซนนา และฟาเบรกัส
สเปนลงแข่งในรอบรองชนะเลิศกับรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน และเอาชนะไปได้ด้วยคะแนน 3-0 ซึ่งเป็นประตูที่ยิงได้ในครึ่งหลังทั้งหมดจากชาบี เอร์นันเดซ, ดานี กวีซา และดาบิด ซิลบา ทำให้สเปนผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี อย่างไรก็ตาม สเปนก็ต้องขาดบียากองหน้าคนสำคัญไปเพราะได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาจากการเตะลูก ฟรีคิกในนัดที่แข่งกับรัสเซีย
ในวันที่ 29 มิถุนายน สเปนพบกับเยอรมนีซึ่งชนะตุรกีมาได้ด้วยคะแนน 3-2 ในนัดนี้ เฟร์นันโด ตอร์เรสทำ ประตูให้สเปนขึ้นนำเยอรมนีได้ในนาทีที่ 33 โดยไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่มอีกในครึ่งหลัง เกมจึงสิ้นสุดลงด้วยคะแนน 1-0 ทำให้ทีมชาติสเปนได้ครองแชมป์การแข่งขันใหญ่อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปถึง 44 ปี
ข่าวฮอต
อันดับ | ทีม | W/D/L | แต้ม |
---|
เมือง&สนามบอล
ชิงอันดับฟุตบอลยูโรที่ผ่านมา
ปีี | ชนะเสิศ | รองชนะเสิศ | อันดับ 3 |
---|---|---|---|
2008 | สเปน | เยอรมัน | รัสเซีย / ตุรกี |
2004 | กรีซ | โปรตุเกส | เนเธอร์แลนด์ / สาธารณรัฐเช็ก |
2000 | ฝรั่งเศส | อิตาลี | เนเธอร์แลนด์ / โปรตุเกส |
1996 | เยอรมัน | สาธารณรัฐเช็ก | ฝรั่งเศส / อังกฤษ |
1992 | เดนมาร์ก | เยอรมัน | เนเธอร์แลนด์ / สวีเดน |
1988 | เนเธอร์แลนด์ | สหภาพโซเวียต | อิตาลี / เเยอรมนีตะวันตก |
1984 | ฝรั่งเศส | สเปน | เดนมาร์ก / โปรตุเกส |
1980 | เเยอรมนีตะวันตก | เบลเยียม | เชโกสโลวะเกีย |
1976 | เชโกสโลวะเกีย | เเยอรมนีตะวันตก | เนเธอร์แลนด์ |
1972 | เเยอรมนีตะวันตก | สหภาพโซเวียต | เบลเยียม |
1968 | อิตาลี | ยูโกสลาเวีย | อังกฤษ |
1964 | สเปน | สหภาพโซเวียต | ฮังการี |
1960 | สหภาพโซเวียต | ยูโกสลาเวีย | เชโกสโลวะเกีย |