ฟุตบอล ยูโร 2012 รอบก่อนรองชนะเลิศ
วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2555
อังกฤษ 0 - 0 อิตาลี
(อิตาลี ชนะจุดโทษ 4-2)
สนาม : โอลิมปิก สเตเดี้ยม, เคียฟ, ยูเครน
คู่สุดท้ายของรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นเกมใหญ่ระหว่าง อังกฤษ ทีมอันดับ 1 กลุ่มดี ลงสนามพบกับอิตาลี ที่เข้ารอบมาในฐานะทีมอันดับ 2 กลุ่มซี
ทีมสิงโตคำรามของ รอย ฮ็อดจ์สัน เกมนี้ยังคงยึดผู้เล่นชุดเดิมเป็นหลัก นำโดย สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม เป็นตัวตัดเกมร่วมกับ สกอตต์ พาร์เกอร์ โดยมี แอชลี่ย์ ยัง กับ เจมส์ มิลเนอร์ ขึ้นเกมริมเส้นสองฝั่ง แดนหน้า เวย์น รูนี่ย์ จะถอยลงมายืนต่ำเหมือนเป็นกองกลางตัวรุก โดยมี แดนนี่ เวลเบ็ค ลงยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า
ทางฝั่ง "อัซซูรี่" อิตาลี ภายใต้การคุมทัพของ เชซาเร่ ปรันเดลลี่ เกมนี้ไม่มีชื่อ ติอาโก้ ม็อตต้า มิดฟิลด์เชื้อสายบราซิลที่มีอาการบาดเจ็บทำให้ ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ ได้โอกาสลงสนามเป็นสิบเอ็ดคนแรกแทน ส่วนแนวรับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักก็เจ็บกล้ามเนื้อต้นขามาจากเกมกับไอร์แลนด์
เริ่มเกมได้เพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น อิตาลีเกือบได้ประตูออกนำจากลูกยิงไกลระยะ 30 หลา ของ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ที่พุ่งผ่านมือ โจ ฮาร์ท ไปแล้วแต่บอลพุ่งชนเสาอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 5 อังกฤษ ก็เกือบได้เหมือนกัน เกล็น จอห์นสัน ทำชิ่งกับ แอชลี่ย์ ยัง ก่อนได้ยิงด้วยขวาในกรอบเขตโทษระยะ 6 หลา แต่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน โดดปัดเอาไว้ได้
นาทีที่ 11 สิงโตคำราม บุกได้น่ากลัว เวย์น รูนี่ย์ ลากบอลริมเส้นฝั่งขวาก่อนผ่านเรียดเข้าไปให้ แดนนี่ เวลเบ็ค แต่ อันเดรีย บาร์ซายี่ อ่านเกมขาดสกัดออกหลังไปได้ทัน
นาทีที่ 13 อังกฤษ เริ่มทำเกมบุกได้มากขึ้น เกล็น จอห์นสัน เปิดบอลเข้าไปให้ เวย์น รูนี่ย์ ได้พุ่งโหม่งแต่บอลเหินข้ามคานออกไป
นาทีที่ 16 ทีมอัซซูรี่ ได้ลุ้นบ้างจากจังหวะที่ ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ ยกบอลข้ามแนวรับอังกฤษให้ อันโตนิโอ คาสซาโน่ หลุดเข้าไปในกรอบโทษ แต่ โจ ฮาร์ท วิ่งออกมาตัดบอลได้ทัน
นาทีที่ 25 อันเดรีย ปีร์โล่ วางบอลให้ มาริโอ บาโลเตลลี่ หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับ โจ ฮาร์ท แต่ จอห์น เทอร์รี่ ยังไววิ่งมาบล็อกลูกยิงเอาไว้ได้
นาทีที่ 32 อิตาลี ได้โอกาสอีกครั้ง ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ จ่ายบอลจังหวะเดียวข้ามแนวรับอังกฤษ มาริโอ บาโลเตลลี่ กระโดดวอลเล่ย์ แต่บอลไปตรงตัว โจ ฮาร์ท
นาทีต่อมา แดนนี่ เวลเบ็ค ลากบอลขึ้นมาเองก่อนทำชิ่งกับ เวย์น รูนี่ย์ แล้วแปหน้ากรอบเขตโษ บอลเหินข้ามคานออกไปชนิดได้ลุ้น
ทีมอัซซูรี่เริ่มครองเกมบุกได้มากขึ้น นาทีที่ 37 อันโตนิโอ คาสซาโน่ ได้สับไกนอกกรอบเขตโทษระยะ 20 หลา แต่ โจ ฮาร์ท รับไว้ได้ไม่ยาก
นาทีที่ 40 อิตาลี พลาดได้ประตู อันเดรีย ปีร์โล่ วางบอลไปในเขตโทษฝั่งขวา อันโตนิโอ คาสซาโน่ โหม่งตั้งเข้ามากลางประตูให้ มาริโอ บาโลเตลลี่ ระยะแค่ 5 หลา แต่ โจลีออน เลสค็อตต์ เคลียร์ทิ้งออกหลังไปได้แบบเหลือเชื่อ
จบครึ่งเวลาแรก ทั้งสองทีมแลกเกมกันอย่างสนุก แต่ยังไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันได้ เสมอกันไป 0-0
กลับมาเล่นต่อในครึ่งเวลาหลัง ทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น
นาทีที่ 48 จากลูกเตะมุมของทีมอัซซูรี่ โจ ฮาร์ท โดดชกบอลออกมาหน้ากรอบเขตโทษ ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ โหม่งตั้งเข้าไปให้ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ได้ยิงระยะไม่กี่หลาออกไปแบบเหลือเชื่อ
นาทีที่ 52 อิตาลี บุกเป็นชุด ดานิเอเล่ เด รอสซี่ สับไกนอกเขตโทษเต็มแรง โจ ฮาร์ท ปัดไว้ได้บอลไปเข้าทาง บาโลเตลลี่ ได้ยิงอีกครั้งแต่ โจ ฮาร์ท ก็ปัดไว้ได้อีก ก่อนที่ ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ จะตามมาซ้ำข้ามคานออกไป
นาทีที่ 60 สิงโตคำรามเปลี่ยนตัวทีเดียวสองคนรวดโดยเอา แอนดี้ แคร์โรลล์ กับ ธีโอ วัลค็อตต์ ลงมาแทน แดนนี่ เวลเบ็ค กับ เจมส์ มิลเนอร์
นาทีที่ 64 อังกฤษได้โอกาสลุ้นครั้งแรกในครึ่งหลัง ธีโอ วัลค็อตต์ โยนเข้าไปให้ แอนดี้ แคร์โรลล์ แต่แนวรับอิตาลีเคลียร์บอลไม่ดีมาเข้าทาง แอชลี่ย์ ยัง ได้ยิงเต็มๆแต่บอลแฉลบกองหลังอิตาลีออกไป
นาทีที่ 77 สิงโตคำรามได้ลุ้นจากลูกฟรีคิกระยะ 35 หลาฝั่งซ้าย สตีเว่น เจอร์ราร์ด วางบอลเข้าไปให้ เวย์น รูนี่ย์ แต่ดาวยิงร่างตันโหม่งไม่โดน บอลไปเข้ามือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน
นาทีที่ 78 เชซาเร่ ปรันเดลลี่ กุนซืออิตาลี ตัดสินใจถอดเอา อันโตนิโอ คาสซาโน่ ออกและส่ง อเลสซานโดร เดียมานติ ลงแทน
นาทีที่ 80 ทีมอัซซูรี่เปลี่ยนผู้เล่นอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนเอา อันโตนิโอ โนเชริโน่ ลงสนามไปแทน ดานิเอเล่ เด รอสซี่
นาทีที่ 82 อันเดรีย บาร์ซายี่ รับใบเหลืองคนแรกของเกมนี้ หลังไปพุ่งเสียบเข้าใส่ แอชลี่ย์ ยัง
นาทีที่ 88 อิตาลีเกือบได้เฮ อันโตนิโอ โนเชริโน่ จับบอลหนึ่งจังหวะในเขตโทษก่อนสับไกด้วยขวาระยะ 6 หลา แต่ เกล็น จอห์นสัน วิ่งมาบล็อกออกหลังไปได้
นาทีสุดท้าย อิตาลีเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย คริสเตียน มาจโจ้ ลงสนามมาแทน อินยาซิโอ้ อบาเต้
ช่วงทดเวลาเจ็บ แอชลี่ย์ โคล ลากบอลสุดเส้นหลังก่อนเปิดบอลเข้าไปให้ แอนดี้ แคร์โรลล์ โขกตั้งมาให้ เวย์น รูนี่ย์ ได้ตีลังกายิง แต่บอลเหินข้ามคานออกไป และนั่นก็เป็นจังหวะสุดท้ายของเกม จบ 90 นาทีเสมอกัน 0-0 ต้องต่อเวลา 120 นาทีออกไป
ช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 94 คริสเตียน มาจโจ้ รับใบเหลืองหลังไปเตะ แอชลี่ย์ ยัง ทางด้านหลัง
นาทีที่ 95 อังกฤษเปลี่ยนตัวผู้เล่นเป็นคนสุดท้าย ส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงสนามมาแทน สกอตต์ พาร์เกอร์ ที่ดูช้าไปเยอะ
นาทีที่ 96 อันเดรีย ปีร์โล่ วางบอลให้ มาริโอ บาโลเตลลี่ ได้หลุดเดี่ยวไปแต่เจ้าตัวเกี่ยวบอลไม่ติดและไปเสียหลักล้มลงเสียก่อน
นาทีที่ 102 อเลสซานโดร เดียมานติ เปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ บอลพุ่งโค้งไม่โดนใคร ผ่านมือ โจ ฮาร์ท ไปแล้ว ก่อนชนโคนเสาด้านนอกกระดอนออกมา
นาทีที่ 105 ธีโอ วัลค็อตต์ ลากบอลเข้าไปสุดเส้นหลังทางด้านซ้ายก่อนโยนเข้าไปให้ แอนดี้ แคร์โรลล์ โหม่งที่เสาสอง แต่น้ำหนักแรงไปบอลออกหลังไม่ได้ลุ้น และก็จบครึ่งเวลาแรกของการต่อเวลา
นาทีที่ 106 อเลสซานโดร เดียมานติ ได้ลองยิงปั่นด้วยเท้าขวาบริเวณหน้าเขตโทษ แต่บอลหลุดกรอบออกไปแบบไม่ได้ลุ้น
นาทีที่ 112 อิตาลีได้โอกาสลุ้นทำประตู เฟเดริโก้ บัลซาเร็ตติ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้าไปใหน้าเขตโทษ อเลสซานโดร เดียมานติ คนเดิมวิ่งเข้ายิงด้วยซ้ายแต่บอลหลุดกรอบออกไป
นาทีที่ 115 อเลสซานโดร เดียมานติ เปิดบอลเข้าไปที่เสาสองให้ อันโตนิโอ โนเชริโน่ โขกจ่อๆไม่เหลือ แต่จังหวะนี้เป็นลูกล้ำหน้าไปเสียก่อน
หมดเวลา 120 นาที ทั้งสองทีมยังทำประตูไม่ได้ ทำให้ต้องไปตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ
อิตาลีเป็นฝ่ายเสี่ยงเหรียญได้ยิงก่อน โดยคนแรกเป็น มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่ยิงเรียดเสียบเสาเข้าไปไม่เหลือ อิตาลีนำ 1-0
สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมรับหน้าที่สังหารให้ อังกฤษตีเสมอเป็น 1-1
ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ ยิงออกข้างไปอย่างเหลิอเชื่อ อิตาลี ยังเสมอ 1-1
เวย์น รูนี่ย์ ยิงเข้าไปทางขวามือของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน อังกฤษ ขึ้นนำ 2-1
อันเดรีย ปีร์โล่ ชิพบอลแบบเหนือชั้นเข้ากลางประตู อิตาลีตีเสมอเป็น 2-2
แอชลี่ย์ ยัง วิ่งเข้ามาซัดเต็มข้อบอลพุ่งเหินไปชนคานสนั่นหวั่นไหวไม่เป็นประตู
อันโตนิโอ โนเชริโน่ แปเสียบเสาเข้าไป อิตาลี ขึ้นนำ 3-2
จานลุยจิ บุฟฟ่อน พุ่งเซฟลูกยิงของ แอชลี่ย์ โคล ไว้ได้ติดมือ
อเลสซานโดร เดียมานติ ยิงเข้าไปให้ อิตาลี เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 4-2 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับ เยอรมัน ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน ที่จะถึงนี้
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
อังกฤษ : โจ ฮาร์ท - เกล็น จอห์นสัน, จอห์น เทอร์รี่, โจลีออน เลสค็อตต์, แอชลี่ย์ โคล - เจมส์ มิลเนอร์ (ธีโอ วัลค็อตต์ น.61), สตีเว่น เจอร์ราร์ด (กัปตันทีม), สกอตต์ พาร์เกอร์ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.93), แอชลี่ย์ ยัง - เวย์น รูนี่ย์ - แดนนี่ เวลเบ็ค (แอนดี้ แคร์โรลล์ น.61)
สำรองไม่ได้ใช้: โรเบิร์ต กรีน (ผู้รักษาประตู), แจ็ค บัตแลนด์ (ผู้รักษาประตู) - มาร์ติน เคลลี่, เลห์ตัน เบนส์, ฟิล โจนส์, ฟิล จากีลก้า, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เจอร์เมน เดโฟ
อิตาลี : จานลุยจิ บุฟฟ่อน (กัปตันทีม) - อินยาซิโอ อบาเต้ (คริสเตียน มาจโจ้ น.90), อันเดรีย บาร์ซายี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, เฟเดริโก้ บัลซาเร็ตติ - อันเดรีย ปีร์โล่ - เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ, ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่ (อันโตนิโอ โนเชริโน่ น.80) - มาริโอ บาโลเตลลี่, อันโตนิโอ คาสซาโน่ (อเลสซานโดร เดียมานติ น.78)
สำรองไม่ได้ใช้: ซัลวาตอเร่ ซิริกู (ผู้รักษาประตู), มอร์แกน เด ซานช์ติส (ผู้รักษาประตู) - จอร์โจ้ คิเอลลินี่, อันเจโล อ็อกบอนน่า, ติอาโก้ ม็อตต้า, อันโตนิโอ ดิ นาตาเล่, เอมานูเอเล่ จัคเครินี่, ฟาบิโอ บอรินี่, เซบาสเตียน โจวินโก้
ใบเหลือง: อันเดรีย บาร์ซายี่ น.82, คริสเตียน มาจโจ้ น.94
ผู้ตัดสิน : เปโดร โปรเอนก้า (โปรตุเกส)
ผู้ช่วยผู้ตัดสิน: แบร์ติโน่ มิรานด้า (โปรตุเกส), ริคาร์โด้ ซานโต๊ส (โปรตุเกส)
ผู้ตัดสินที่ 4: คูเนย์ต คาคีร์ (ตุรกี)
ข่าวฮอต
อันดับ | ทีม | W/D/L | แต้ม |
---|
เมือง&สนามบอล
ชิงอันดับฟุตบอลยูโรที่ผ่านมา
ปี | ชนะเลิศ | รองชนะเลิศ | อันดับ 3 |
---|---|---|---|
2008 | สเปน | เยอรมัน | รัสเซีย / ตุรกี |
2004 | กรีซ | โปรตุเกส | เนเธอร์แลนด์ / สาธารณรัฐเช็ก |
2000 | ฝรั่งเศส | อิตาลี | เนเธอร์แลนด์ / โปรตุเกส |
1996 | เยอรมัน | สาธารณรัฐเช็ก | ฝรั่งเศส / อังกฤษ |
1992 | เดนมาร์ก | เยอรมัน | เนเธอร์แลนด์ / สวีเดน |
1988 | เนเธอร์แลนด์ | สหภาพโซเวียต | อิตาลี / เเยอรมนีตะวันตก |
1984 | ฝรั่งเศส | สเปน | เดนมาร์ก / โปรตุเกส |
1980 | เเยอรมนีตะวันตก | เบลเยียม | เชโกสโลวะเกีย |
1976 | เชโกสโลวะเกีย | เเยอรมนีตะวันตก | เนเธอร์แลนด์ |
1972 | เเยอรมนีตะวันตก | สหภาพโซเวียต | เบลเยียม |
1968 | อิตาลี | ยูโกสลาเวีย | อังกฤษ |
1964 | สเปน | สหภาพโซเวียต | ฮังการี |
1960 | สหภาพโซเวียต | ยูโกสลาเวีย | เชโกสโลวะเกีย |