แดนนี่ เวลเบ็ค รับบทแข้งฮีโร่ซัดประตูโทนสุดสวยช่วย "สิงโตคำราม" อังกฤษ เปิดเวมบลีย์ เฉือนเก็บชัยเหนือ เบลเยี่ยม ไปแบบมันส์เกือก 1-0 นับเป็นการปิดแมตช์อุ่นเครื่องได้อย่างสวยหรูโดยเก็บชัยได้ทั้งสองนัด เรียกความมั่นใจได้ก่อนไปลุย ยูโร 2012 ต่อไป ในศึกฟุตบอลนัดกระชับมิตรทีมชาติ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ฟุตบอล กระชับมิตรทีมชาติ
วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2555
อังกฤษ 1 - 0 เบลเยียม
สนาม : เวมบลีย์, ลอนดอน
"สิงโตคำราม" อังกฤษ เปิดสนามเวมบลีย์ ของตัวเอง ทำแมตช์อุ่นเครื่อง กับ เบลเยียม โดยเกมนี้ใช้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นผู้นำทัพ โดยกองหน้าตัวจริงส่ง แดนนี่ เวลเบ็ค ยืนค้ำ ขณะที่ เบลเยียม ส่ง เอแดน อาซาร์ นักเตะที่มีข่าวว่าย้ายซบเชลซี ลงสนามตัวจริงด้วย
เริ่มเกมมา8นาที เป็นฝ่าย อังกฤษ ที่มีลุ้นได้ประตู เมื่อ เจมส์ มิลเนอร์ ได้บอลหลุดไปถึงเส้นหลังฝั่งขวา ก่อนหักเข้ากลางให้ อเล็กซ์ เชมเบอร์เลน วิ่งมาคนเดียวแบบไร้ตัวประกบในระยะ12หลาหน้าประตู แต่ อเล็กซ์ เชมเบอร์เลน กลับยิงวืดเท้าขวา บอลไปถูกขาซ้ายของตัวเองแทน
นาทีที่14 แม้จะครองบอลได้น้อยกว่า แต่ อังกฤษ ก็ยังมีโอกาสได้จบอีกครั้ง เมื่อ แดนนี่ เวลเบ็ค ได้บอลตรงเส้นหลังประตู ก่อนไหลกลับมาให้ อเล็กซ์ เชมเบอร์เลน วิ่งมากดด้วยขวา แต่บอลหลุดกรอบไปเยอะ
3นาทีต่อมา เบลเยียม โดนใบเหลืองไปก่อน เมื่อ มารูอาน เฟลไลนี่ วางบอลยาวให้ ดริเอส เมอร์เท่นส์ วิ่งควบไปกับ แกรี่ เคฮิลล์ แต่เหลี่ยมบอลถูก แกรี่ เคฮิลล์ บังไว้แล้ว ดริเอส เมอร์เท่นส์ กลับใช้มือผลักด้านหลังของ แกรี่ เคฮิลล์ จนเสียหลักชนกับ โจ ฮาร์ท อย่างจัง ผู้ตัดสินจึงไม่ลังเลควักใบเหลือง
และจากจังหวะต่อเนื่อง อังกฤษ ไม่เสี่ยงที่จะให้ แกรี่ เคฮิลล์ เล่นต่อ จึงได้ทำการเปลี่ยนให้ โจลีออน เลสคอตต์ ลงมาแทน
นาทีที่23 เป็นฝ่าย เบลเยียม ที่ครองบอลได้มากกว่า และมีโอกาสได้ลุ้น เมื่อ ดริเอส เมอร์เท่นส์ ไหลบอลให้ อักเซล วิตเซล กดเต็มบอลลอยเฉียดคานออกหลังแบบมีลุ้น
นาทีที่30 เป็นฝ่ายเจ้าถิ่น อังกฤษ รับใบเหลืองไปบ้าง เมื่อ สกอตต์ พาร์เกอร์ ไปเสียบหนักใส่ ยาน แฟร์ทอนเก้น ผู้ตัดสินควักแจกเพื่อเป็นเบรคเกมที่เริ่มหนักขึ้น
นาทีที่36 แฟนๆสิงโตคำราม ได้เฮกันลั่น เมื่อ เบลเยียม เสียการครองบอลในแดนตัวเอง บอลหลุดมาถึง แอชลี่ย์ ยัง แทงทะลุช่องให้ แดนนี่ เวลเบ็ค หลุดไปชิพข้ามตัว ซิมง มินโญเลต์ ส่งบอลตุงตาข่าย ให้ อังกฤษ ขึ้นนำ 1-0
4นาทีต่อมา เอแดน อาซาร์ มีโอกาสได้ยิงไกลระยะ30หลา แต่บอลไม่แรงและตรงตัว โจ ฮาร์ท รับเข้ามือสบาย
ช่วงท้ายครึ่งแรก อังกฤษ เปิดเกมกดดัน แล้วมีโอกาสยิงล่อเป้าใส่ เบลเยียม หลายจังหวะ แต่ยังไม่ผ่านแนวรับของ เบลเยียม หมดครึ่งแรก อังกฤษ จึงนำ เบลเยียม อยู่ 1-0
กลับมาเล่นต่อในครึ่งเวลาหลัง อังกฤษยังคงเดินเกมบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ส่วนทาง เบลเยียม รอรับแล้วสวนกลับเหมือนเดิม
นาทีที่ 53 ทีมชาติอังกฤษเปลี่ยนเอา แดนนี่ เวลเบ็ค ออก และส่ง เวย์น รูนี่ย์ ลงสนามแทน
นาทีที่ 59 ฝั่งทีมเยือนมีการขยับบ้างเมื่อ เควิน มิรัลลาส ถูกเปลี่ยนตัวออก และให้ เนเซอร์ ชาดลี่ ลงเล่นแทน
นาทีที่ 61 เบลเยียม เกือบได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ เอแดน อาซาร์ ลากบอลจี้เข้าเขตโทษก่อนจ่ายบอลต่อให้ มารูอาน เฟลไลนี่ ได้สับไกแต่บอลเบาเกินไป และไปตรงตัว โจ ฮาร์ท
นาทีที่ 66 เจ้าถิ่นเปลี่ยนตัวอีกครั้งโดยเปลี่ยนทีเดียวสองคนรวด โดยส่ง เจอร์แมน เดโฟ และ ธ๊โอ วัลค็อต์ ลงสนาม แทน แอชลี่ย์ ยัง กับ อเล็กซ์ เชมเบอร์เลน
อังกฤษลงไปตั้งรับในแนวตัวเองมากขึ้น ทำให้รูปเกมของ เบลเยียม ดูเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นาทีที่ 70 สิงโตคำราม เปลี่ยนเอา จอห์น เทอร์รี่ ออกและให้ ฟิล จากิลก้า ลงสนามแทน
นาทีที่ 72 ทีมเยือนเปลี่ยนเอา โรเมอู ลูกากู ลงมาแทน ดริเอส เมอร์เท่นส์
นาทีที่ 75 เบลเยียม ได้ลุ้นตีเสมออีกครั้ง โรเมอู ลูกากู ตัวสำรองที่เพิ่งลงมาได้โอกาสล็อกหลบแนวรับอังกฤษ ก่อนยิงแต่บอลปโดนกองหลังอังกฤษออกข้างไป
นาทีที่ 77 จากลูกทุ่มเร็ว จุยเลเม่ จิลเลต ที่เติมขึ้นมาได้ลองส่องไกลบอลพุ่งผ่านหน้าประตูออกไปชนิดได้ลุ้น
นาทีที่ 82 อังกฤษ เกือบได้ประตูทิ้งห่าง เจอร์แมน เดโฟ ได้หลุดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษ บอลพุ่งผ่านตัว ซิมง มินโญเลต์ ที่ได้แต่ยืนมองไปแล้ว แต่กลับไปชนโคนเสากระดอนออกมา
นาทีที่ 83 รอย ฮอดจ์สัน ตัดสินใจให้โอกาส จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เพิ่งถูกเรียกตัวมาแทน แฟร้งค์ แลมพาร์ด ลงสนามไปแทน สตีเว่น เจอร์ราร์ด
นาทีที่ 87 จากลูกเตะมุม ยาน แฟร์ทอนเก้น ได้ขึ้นโขกเต็มๆแต่บอลหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย
นาทีสุดท้าย ธ๊โอ วัลค็อต์ เก็บบอลได้กลางสนามก่อนจ่ายเร็วให้ เจอร์แมน เดโฟ วิ่งสปีดหลุดเข้าไปทางขวาของกรอบเขตโทษก่อนตัดสินใจยิงแต่บอลเข้าข้างตาข่าย
เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 92 มุสซ่า เดมเบเล่ วางบอลจากกลางสนามไปให้ โรเมอู ลูกากู ได้พักบอลก่อนไหลต่อให้ มารูอาน เฟลไลนี่ ได้ยิงหน้ากรอบเขตทษ แต่ โจ ฮาร์ท ล้มตัวรับไว้ได้ทัน
จบเกมทีมชาติอังกฤษเปิดบ้านเฉือนชัยไปได้ 1-0 นับเป็นชัยชนะครั้งที่สองภายใต้การคุมทีมของ รอย ฮอดจ์สัน โดยยังไม่เสียประตูให้กับทีมใดในสองนัดที่ผ่านมา
รายชื่อนักเตะของทั้งสองทีม
อังกฤษ: โจ ฮาร์ท - เกล็น จอห์นสัน, จอห์น เทอร์รี่ (ฟิล จากีลก้า น.70), แกรี่ เคฮิลล์ (โจลีออน เลสค็อตต์ น.19), แอชลี่ย์ โคล - อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (ธีโอ วัลค็อตต์ น.66), สตีเว่น เจอร์ราร์ด (กัปตันทีม) (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.83), สกอตต์ พาร์เกอร์, เจมส์ มิลเนอร์ - แอชลี่ย์ ยัง (เจอร์เมน เดโฟ น.66) - แดนนี่ เวลเบ็ค (เวย์น รูนี่ย์ น.54)
สำรอง: โรเบิร์ต กรีน (ผู้รักษาประตู) - แจ็ค บัตแลนด์ (ผู้รักษาประตู) - ฟิล โจนส์, เลห์ตัน เบนส์, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, แอนดี้ แคร์โรลล์
เบลเยี่ยม: ซิมง มินโญเล่ต์ - กีโยม ชิลเล่ต์, โธมัส แฟร์มาเล่น, ยาน แฟร์ตองเก้น, ทิมมี่ ซิมงส์ - อักเซล วิตเซล, มารูอาน เฟลไลนี่, ดรีส เมอร์เท่นส์ (โรเมลู ลูกากู น.73), เควิน มิรัลลาส (นาเซอร์ ชาดลี่ น.59) - เอแดน อาซาร์, มุสซ่า เดมเบเล่
สำรอง: โอลิวิเย่ร์ เรนาร์ด (ผู้รักษาประตู) - อีกอร์ เด มาร์โก้, แยลล์ ฟอสเซ่น, สตีเว่น เดฟูร์, รัดย่า แน็งโกล็อง, เซบาสเตียน โปโกโญลี่, เดนนิส โอดัว, แบงฌาแม็ง เดอ เซอูแลร์, คริสเตียน เบนเตเก้
ข่าวฮอต
อันดับ | ทีม | W/D/L | แต้ม |
---|
เมือง&สนามบอล
ชิงอันดับฟุตบอลยูโรที่ผ่านมา
ปี | ชนะเลิศ | รองชนะเลิศ | อันดับ 3 |
---|---|---|---|
2008 | สเปน | เยอรมัน | รัสเซีย / ตุรกี |
2004 | กรีซ | โปรตุเกส | เนเธอร์แลนด์ / สาธารณรัฐเช็ก |
2000 | ฝรั่งเศส | อิตาลี | เนเธอร์แลนด์ / โปรตุเกส |
1996 | เยอรมัน | สาธารณรัฐเช็ก | ฝรั่งเศส / อังกฤษ |
1992 | เดนมาร์ก | เยอรมัน | เนเธอร์แลนด์ / สวีเดน |
1988 | เนเธอร์แลนด์ | สหภาพโซเวียต | อิตาลี / เเยอรมนีตะวันตก |
1984 | ฝรั่งเศส | สเปน | เดนมาร์ก / โปรตุเกส |
1980 | เเยอรมนีตะวันตก | เบลเยียม | เชโกสโลวะเกีย |
1976 | เชโกสโลวะเกีย | เเยอรมนีตะวันตก | เนเธอร์แลนด์ |
1972 | เเยอรมนีตะวันตก | สหภาพโซเวียต | เบลเยียม |
1968 | อิตาลี | ยูโกสลาเวีย | อังกฤษ |
1964 | สเปน | สหภาพโซเวียต | ฮังการี |
1960 | สหภาพโซเวียต | ยูโกสลาเวีย | เชโกสโลวะเกีย |