แฟร็งค์ แลมพาร์ด กัปตันทีมโขกซ้ำจากลูกโหม่งของ ดาร์เรน เบนท์ เป็นประตูชัยช่วย "สิงโตคำราม" อังกฤษ เปิดเวมบลีย์เฉือนเก็บชัยเหนือ "กระทิงดุ" สเปน แบบสุดมันส์ 1-0 ในศึกฟุตบอล กระชับมิตรทีมชาติ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา
ฟุตบอล กระชับมิตรทีมชาติ
วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2554
อังกฤษ 1 - 0 สเปน
สนาม : เวมบลีย์ , ลอนดอน
สิงโตคำราม" อังกฤษ จัดทัพรับมือกับ แชมป์โลก "กระทิงดุ" สเปน โดยมอบหมายให้แฟร้งค์ แลมพาร์ดรับบทกัปตันแทนจอห์น เทอร์รี่สตาร์จอมฉาวซึ่งมีชื่อเป็นตัวสำรอง และใช้งานฟิล โจนส์ในแดนกลางโดยมีโจลีออน เลสค็อตต์จับคู่เป็นเซ็น
เตอร์ฮาล์ฟร่วมกับฟิล จากิลก้า
นอกจากนี้ เกล็น จอห์นสันก็กลับมาทวงตำแหน่งแบ็คขวาไปได้ แต่การปราศจากเวย์น รูนีย์ที่ไม่ถูกเรียกมาติดธง และกาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ที่บาดเจ็บทำให้ดาร์เรน เบนท์หอกผิวสีได้ลงบู๊
ด้านทีมกระทิงดุไม่มีปัญหา ขาดแค่ฆาบี มาร์ติเนซมิดฟิลด์ตัวประกอบที่เดี้ยงแค่รายเดียว
ทีมเยือนโชว์การต่อบอลสั้นบนพื้นทำเกมรุกเข้าหาตั้งแต่ต้น ขณะที่เจ้าบ้านเน้นช่วยกันตั้งรับอย่างมีวินัยรอโอกาสเหมาะโต้กลับแบบฉับพลัน
จนกระทั่งนาทีที่ 12 สเปนก็ได้ลุ้นก่อนจากจังหวะแทงบอลทะลุเข้าเขตโทษด้านซ้ายของดาบิด ซิลบาที่เปิดทางให้ดาบิด บีย่าปรี่เข้าซัดมุมแคบ แต่เกล็น จอห์นสันกับจากิลก้าเข้ามาช่วยกันบล็อคลูกยิงของหอกกระทิงดุได้ทันท่วงที
อาคันตุกะค่อยๆเดินหน้ารุกคืบต่อโดยไม่ผลีผลาม แต่ไม่มีสิทธิ์เจาะเกมรับที่รัดกุมของทรี ไลอ้อนส์ได้ง่ายๆ และถึงนาทีที่ 32 แลมพาร์ดก็ลองส่องไกลจาก 30 หลา แต่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับอีเคร์ กาซิยาส
และในนาทีเดียวกันนี้ สเปนก็จู่โจมแบบสายฟ้าแลบขึ้นทางซ้ายจนซิลบาหลุดเข้าเขตโทษไปตะบันยัดใส่เสาแรก แต่โจ ฮาร์ทปิดมุมอยู่จึงคว้าเข้าซอง
ถัดมาในนาทีที่ 36 สเปนต่อเกมขึ้นมาเป็นทอดๆจนถึงหน้าเขตโทษก่อนที่ซิลบาจะชิ่งคืนให้อันเดรียส อีเนียสต้ากดจาก 23 หลากระทบบั้นท้ายของเลสค็อตต์เปลี่ยนทิศหลุดกรอบไป
นาทีต่อมา ทีมตรากระทิงได้ลุ้นอีกครั้งจากการตักบอลยาวเข้าเขตโทษของชาบี อลอนโซ่ แต่เซร์คิโอ บุสเก็ตต์โฉบเข้าตวัดยิงจาก 12 หลาไม่ถนัด บอลจึงโด่งข้ามคาน
ถึงนาทีที่ 42 เจมส์ มิลเนอร์มีอันต้องรับใบเหลืองเป็นรายแรกข้อหาเข้าเสียบเซร์คิโอ รามอส ก่อนที่เกมในครึ่งแรกจะจบลงด้วยผลลัพธ์ 0-0 โดยสเปนทำเกมได้เหนือกว่า แต่ยังหาช่องสอยตาข่ายไม่สำเร็จ
ครึ่งหลังสเปนเปลี่ยนโฆเซ่ เรน่า , เชส ฟาเบรกาส และฆวน มาต้าลงเล่นแทนกาซิยาส , ชาบี เออร์นานเดซ และซิลบา ขณะที่อังกฤษส่งสจ๊วร์ต ดาวนิ่งลงบู๊แทนธีโอ วัลค็อตต์
และแล้วนาทีที่ 49 แฟนเจ้าบ้านก็ได้กระโดดกันตัวลอยจากจังหวะได้ลูกฟรีคิกทางริมเส้นด้านซ้าย มิลเนอร์จึงสาดเข้าเขตโทษแล้วเบนท์โขกไปชนเสาไกลกระดอนกลับมาเสาแรก แลมพาร์ดจึงสบโอกาสเข้าโขกเผาขนระยะสามหลาเป็นสกอร์ที่พาสิงโตคำรามสตาร์ตนำ 1-0
สเปนเร่งเครื่องกดดันเจ้าบ้านทันที และน่าจะตีเสมอได้ในนาทีที่ 56 เมื่อบุสเก็ตส์แทงบอลยาวจากกลางสนามให้บีย่าหลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษไปแตะหลบฮาร์ทได้แล้ว แต่จังหวะสับไกกลับซัดบอลไปเข้าหน้าต่าง
นาทีต่อมา อังกฤษเปลี่ยนผู้เล่นอีกโดยถอดแลมพาร์ดกับโจนส์ออกให้แกเร็ธ แบร์รี่กับแจ็ค ร็อดเวลล์ลงไปแทน และถึงนาทีที่ 60 รามอสก็มีใบเหลืองติดตัวเมื่อเข้าเสียบเบนท์
ให้หลังอีกนาทีเดียว ฟาเบรกาสก็โดนจดชื่อตามมาจากจังหวะกระโดดอัดใส่จากิลก้าน่าเกลียดขณะดวลลูกโด่ง
ผ่านมาถึงนาทีที่ 64 เจ้าบ้านส่งแดนนี่ เวลเบ็คลงไปแทนเบนท์ ขณะที่ทีมเยือนใช้งานเฟร์นานโด ตอร์เรสแทนที่บุสเก็ตส์
ถึงตรงนี้ เกมของอังกฤษมั่นคงขึ้นเยอะ ไม่ได้เป็นรองลิบลับเหมือนครึ่งแรก แต่นาทีที่ 72 ทีมเยือนน่าจะพังประตูได้จากจังหวะที่เกล็น จอห์นสันโหม่งสกัดบอลไปเข้าทางให้บีย่าพักอกแล้วกระโดดวอลเลย์จากหน้าเขตโทษ แต่บอลชนเสา
ไกลอย่างน่าเสียดาย
จากนั้นในนาทีที่ 75 ทีมเยือนก็ปล่อยซานติ กาซอร์ล่าลงบู๊แทนอีเนียสต้า รวมถึงการ์เลส ปูโยลที่ได้เสียบแทนรามอส ขณะที่สิงโตคำรามส่งอดัม จอห์นสันแทนที่มิลเนอร์
ท้ายเกม แชมป์โลกเร่งเครื่องเต็มสูบ ทำเอากองหลังอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้นเป็นกอง กระทั่งนาทีที่ 85 เจ้าถิ่นก็เปลี่ยนพาร์เกอร์ที่เริ่มเปลี้ยออกให้ไคล วอล์คเกอร์ลงสนาม
นาทีที่ 89 สเปนหวิดทวงคืนได้จากการพาบอลทะลุขึ้นทางขวาของตอร์เรสแล้วจ่ายเข้ากลางให้ฟาเบรกาสพลิกหนีร็อดเวลล์พร้อมทั้งกลับตัวยิงจาก 18 หลาลอดหว่างขาจากิลก้าแล้ว แต่ฮาร์ทเซฟได้สำเร็จ
อึดใจต่อมากระทิงดุพลาดโอกาสทองไปอีกจากจังหวะที่บีย่าลุยขึ้นทางซ้ายแล้วไหลเข้าเขตโทษให้ฟาเบรกาสแปเน้นๆจาก 12 หลาไปเสาไกล แต่บอลเฉี่ยวกรอบไปนิดเดียวเท่านั้น หมดเวลาสิงโตคำรามพลิกล็อคกำชัยไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 โดยมีพาร์เกอร์ได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แม็ตช์
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
อังกฤษ: โจ ฮาร์ท - เกล็น จอห์นสัน, โจลีออน เลสค็อตต์, ฟิล ยากีลก้า, แอชลี่ย์ โคล - ฟิล โจนส์, สกอตต์ พาร์เกอร์ - ธีโอ วัลค็อตต์, แฟร็งค์ แลมพาร์ด (กัปตันทีม), เจมส์ มิลเนอร์ - ดาร์เรน เบนท์
สำรอง: สกอตต์ คาร์สัน (ผู้รักษาประตู) - เดวิด สต็อคเดล (ผู้รักษาประตู) - ไคล์ วอล์คเกอร์, เลห์ตัน เบนส์, แกรี่ เคฮิลล์, จอห์น เทอร์รี่, แกเร็ธ แบร์รี่, แจ็ค ร็อดเวลล์, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, บ็อบบี้ ซาโมร่า, แดนนี่ เวลเบ็ค, ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, อดัม จอห์นสัน
สเปน: อีเกร์ กาซิยาส (กัปตันทีม) - อัลบาโร่ อาร์เบลัว, เคราร์ด ปิเก้, เซร์คิโอ รามอส, จอร์ดี้ อัลบา - ชาบี เอร์นานเดซ, ชาบี อลอนโซ่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ - อันเดรส อิเนียสต้า, ดาบิด บีย่า, ดาบิด ซิลบา
สำรอง: บิคตอร์ บัลเดส (ผู้รักษาประตู) - โฆเซ่ เรน่า (ผู้รักษาประตู) - ราอูล อัลบิโอล, การ์เลส ปูโยล, นาโช่ มอนเรอัล, เฆซุส นาบาส, เชส ฟาเบรกาส, ซานติ กาซอร์ล่า, เฟร์นานโด ตอร์เรส, ฆวน มานูเอล มาต้า, เฟร์นานโด ยอเรนเต้
ผู้ตัดสิน: ฟร้องก์ เดอ บลีกแกร์ (เบลเยี่ยม)
สรุปผลฟุตบอล กระชับมิตรทีมชาติ
- เม็กซิโก ชนะ เซอร์เบีย 2 - 0
- ปานามา ชนะ คอสตาริกา 2 - 0
- แอฟริกาใต้ เสมอ ไอวอรี่ โคสต์ 1 - 1
- เวลส์ ชนะ นอร์เวย์ 4 - 1
- ไนจีเรีย เสมอ บอตสวานา 0 - 0
- แอลจีเรีย ชนะ ตูนิเซีย 1 - 0
- อังกฤษ ชนะ สเปน 1 - 0
ข่าวฮอต
อันดับ | ทีม | W/D/L | แต้ม |
---|
เมือง&สนามบอล
ชิงอันดับฟุตบอลยูโรที่ผ่านมา
ปี | ชนะเลิศ | รองชนะเลิศ | อันดับ 3 |
---|---|---|---|
2008 | สเปน | เยอรมัน | รัสเซีย / ตุรกี |
2004 | กรีซ | โปรตุเกส | เนเธอร์แลนด์ / สาธารณรัฐเช็ก |
2000 | ฝรั่งเศส | อิตาลี | เนเธอร์แลนด์ / โปรตุเกส |
1996 | เยอรมัน | สาธารณรัฐเช็ก | ฝรั่งเศส / อังกฤษ |
1992 | เดนมาร์ก | เยอรมัน | เนเธอร์แลนด์ / สวีเดน |
1988 | เนเธอร์แลนด์ | สหภาพโซเวียต | อิตาลี / เเยอรมนีตะวันตก |
1984 | ฝรั่งเศส | สเปน | เดนมาร์ก / โปรตุเกส |
1980 | เเยอรมนีตะวันตก | เบลเยียม | เชโกสโลวะเกีย |
1976 | เชโกสโลวะเกีย | เเยอรมนีตะวันตก | เนเธอร์แลนด์ |
1972 | เเยอรมนีตะวันตก | สหภาพโซเวียต | เบลเยียม |
1968 | อิตาลี | ยูโกสลาเวีย | อังกฤษ |
1964 | สเปน | สหภาพโซเวียต | ฮังการี |
1960 | สหภาพโซเวียต | ยูโกสลาเวีย | เชโกสโลวะเกีย |