หน้าแรก - ประวัติฟุตบอลยูโร - ครั้งที่ 7 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 (อิตาลี)

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984

ฝรั่งเศสได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพศึกยูโร 1984 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่หลากหลายทีมสำคัญๆ ไม่ได้ไปปรากฏโฉมหน้าในบรรดาทีมเหล่านั้นมีทั้งอังกฤษ, ฮอลแลนด์, โซเวียตและอิตาลี แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่ากัน การกลับมาของทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งหายหน้าหายตาไปจากรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมาเนิ่นนาน ครั้งสุดท้ายของพวกเขาต้องย้านไปถึงปี 1964 หลังการดวลแข้งในรอบคัดเลือก 8 ทีมสุดท้ายกลุ่ม 1 ฝรั่งเศสเจ้าภาพ, เดนมาร์ก,เบลเยียมและยูโกสลาเวีย ส่วนกลุ่ม 2 ประกอบด้วย สเปน, โปรตุเกส, เยอรมันตะวันตก และ โรมาเนีย

บทเริ่มต้นหาทางสู่แชมป์ยูโร 1984 ของฝรั่งเศสเกิดขึ้นโดยทีมเดนมาร์กเป็นคู่ปรับรายแรก เดนมาร์กนั้นกำลังมารุ่งและเป็นผู้เขี่ยอังกฤษตกรอบ แม้ฝรั่งเศสจะหายหน้าไปนานแต่ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเต็งแชมป์ จากผลงานอันสวยงามสนั่นโลกในศึกเวิลด์ คัพปี 1982 ที่สเปนซึ่งพวกเขาครองอันดับที่ 4 ทีมเดนส์ภายใต้การคุมทีมของ เซปป์ ฟิออนเท็ค ฟื้นคืนด้วยการเรียกตัวดาราที่ไปค้าแข้งต่างชาติกลับมาและแดนิชไดนาไม้ต์ ของพวกเขาก็เล่นเอามิเชล อิดัลโก้ กุนซือน้ำหอมใจเต้นไม่เป็นจังหวะก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ได้เมื่อจบเกมซึ่งปรากฏว่าฝรั่งเศสเอาชนะไป 1-0 โดยประตูชัยมาจากนักเตะชื่อ" มิเชล พลาตินี่ " แมตช์ต่อมาของกลุ่มเบลเยียมเจอกับยูโกสลาเวีย ทีมสลาฟไม่อาจทานเกมของเบลเยียม ซึ่งมี เอ็นโซ ชีโฟ่กับแวร์โกเตอรองเป็นตัวชูโรงได้ พ่ายไปตามระเบียบมาถึงนัดเบลเยียม-ฝรั่งเศส แม้ ฌอง-มารี พัฟฟ์นายทวารเบลจ์จะเหนียวใช้ได้ แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นการโหมกระหน่ำปานทิ้งระเบีดของทีมตราไก่ได้ พลาตินี่ซัดแฮตทริกก่อนจะพาทีมชนะไปขาดกระจุย 5-0

และสกอร์นี้ก็เกิดอีกครั้งในนัดเดนมาร์ก-ยูโกฯ เดนมาร์กไม่เปิดโอกาสให้ยูโกฯ โงหัวขึ้นแต่ละลูกที่ยัดเยียดตุงตาข่ายสลาฟคือการดับลมหายใจยูโกฯที่ละน้อย แล้วก็เป็นเดนมาร์ก ที่ส่งยูโกฯ ตกรอบสนิท ส่วนฝรั่งเศสกลับมาเตะนัดที่ 3 พบกับยูโกสลาเวีย ซึ่งไม่เหลืออะไรให้ลุ้น แต่นัดนี้ทีมสลาฟลั่นวาจา แม้จะตกรอบก็ไม่ขอให้ใครเหยียบย่ำศักดิ์ศรี นักเตะสลาฟสู้แบบยิบตาและนับเป็นโชคมากกว่าที่ทีมตราไก่พิชิตพวกเขาลงได้ ฝรั่งเศสลอยลำแน่นอนหนึ่งทีมในสายนี้ ส่วนใครจะตามไปอีกทีมนั้นต้องรอดูผลคู่เดนมาร์กกับเบลเยียมแม้เบลเยียมจะถึบตัวออกนำไปก่อน แต่พลังแดนิช ไดนาไมต์ทำให้ทีมโคนมสู้อย่างลืมตายถวายชีวิตแท็กติกของเซปป์ พิออนเท็คได้ผล เดนมาร์กทะลุเข้าสู่รอบเซมิไฟนั่ลตามเจ้าภาพ

ส่วนในกลุ่ม 2 เปิดฉากด้วยเยอรมันตะวันตกเสมอกับโปรตุเกส เกมมีทั้งจังหวะช้าและเร็ว และเหตุที่โปตุเกสไม่แพ้ก็เพราะเยอรมันตะวันตก ฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ เสียเอง โดยตั้งแต่ เวิลด์ คัพปี 1982 อินทรีเหล็กตกอยู่ในช่วงบูรณาตัวเอง นัดที่สองของสายนี้ออกมาเป็นเสมออีก จะต่างก็แค่เป็นการเสมอแบบมีสกอร์ท่านั้น โดยสเปนโดนโรมาเนียไล่บี้จนกระทั่งถูกตึตื้น เลยต้องแบ่งแต้มกันไปตามระเบียบ

อินทรีเหล็กมาพบชัยชนะในนัดที่สองซึ่งนับเป็นแมตช์ที่ 500 ของการลงสนามของชาติเยอรมันตะวันตก ทั้งเยอรมันและโรมาเนียต่างต้องการชัยชนะเพื่อความมั่นคงของตนเองจากฟอร์มที่ไม่ได้เรื่องในนัดแรก เยอรมันตะวันตกเริ่มแข็งแกร่งและกร้าวขึ้น สองประตูจาก "เจ้าเป็ดน้อย" รูดี้ โฟลเลอร์ ทำให้เยอรมันตะวันตกชนะไป 2-1

สต๊าด เวโลโดรม ของเมืองมาร์เซยเป็นสังเวียนชี้ชะตาของโปรตุเกสและสเปนในเวลาต่อไป ต่างฝ่ายต่างระวังตัวเกินไป ผลเลยไม่ได้ดั่งใจท่านผู้ชม เสมอกัน 1-1 แมตช์สุดท้ายของเยอรมันตะวันตกและสเปนในรอบแรก เริ่มต้นด้วยการยืนไว้อาลัยต่อนายแพทย์ประจำทีมชาติยูโกสลาเวียผู้เพิ่มล่วงลับ กระทิงดุแผลงอิทธิฤทธิ์เป็นระลอก กระนั้น ความพยายามของเยอรมันตะวันตกก็ไม่ได้ลดน้อยลง ความหวังของอินทรีเหล็กพังครืนดุจฟ้าผ่า เมื่อมาเสียประตูเอาในนาทีที่ 89 ซินญอร์โยนโด่นให้มาซีด้าโขกเปรี้ยงเดียวอยู่หมัด อินทรีเหล็กตกรอบสนิทจากพิษหัวของมาซีด้านี้เองปิดท้ายรอบแรกด้วยโปรตุเกส-โรมาเนีย โดยโปรตุเกสจะได้โบยบินตามสเปนไป ถ้าคว่ำทีมลูกหลานแดร๊คคูล่าสำเร็จ ซึ่งผลก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ทีมตราไก่ภายใต้การนำของอิดัลโก้ และอุดมด้วยนักเตะระดับพระกาฬอย่าง พลาตินี่, อแล็ง ชีแรส,หลุยส์ แฟร์น็องเดซ, มานูเอล อโมโรส, โจเอล บัตส์ ฯลฯ ยังเดินหน้าล่าชัยชนะต่อไปในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งโปรตุเกสคือคู่ฟาดแข้ง

กว่าฝรั่งเศสจะน็อกโปรตุเกสลงได้เลนเอาแทบแย่ และอีกตามเคย...ฮีโร่ของ ชาวน้ำหอมมีน่าว่า " มิเชล พลาตินี่" ขณะที่เกมศึกวัวชนกันระหว่างทีมกระทิงดุกับทีมโคนมจบด้วยการดวลจุดโทษ หลังเสมอกัน 1-1 ในช่วงต่อเวลา สเปนเหนื่อยทั้งกายและใจกว่า จะแยะเดนมาร์กพ้นทาง

แมตชชิงที่ 3 ได้หดหายไปตั้งแต่คราวนี้ ทุกสายตาเผ้ารอว่าระหว่างฝรั่งเศสเจ้าภาพกับสเปน ใครแน่กว่ากัน 27 มิ.ย.1984 สนามปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ กรุงปารีส เป็นอีกครั้งที่ พลาตินี่ใช้ฝีเท้าหาเสียงให้ตัวเอง ในนาทีที่ 57 ฝรั่งเศสนำ 1-0 ทีมตราไก่พยายามกางปีกโอบกระทิงดุเอาไว้กว่าฝรั่งเศสจะเด็ดชัยชนะได้ ต้องรอถึงนาทีที่ 90 เป็นพลาตินี่อีกครั้งที่ป้อนบอลให้บรูโน่ เบลโลน สังหารอาร์คอนาด้านายด่านตาข่ายสเปน สิ้นเสียงนกหวีด ฝรั่งเศส 'นโปเลียนลูกหนัง' กลายเป็นแชมป์ ยุโรปอย่างสมศักดิ์ศรี นับเป็นเกียรติยศระดับประวัติศาสตร์ครั้งแรกของตำนานลูกหนังน้ำหอม พร้อมกันนั้นพลาตินี่คือกับปตันทีมที่ปิดฉากความยิ่งใหญ่ของตนเองด้วยผลงานที่ถูกบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดถึง 9 ประตู

ตารางคะแนน
    อันดับ ทีม W/D/L แต้ม

    เมือง&สนามบอล

    ชิงอันดับฟุตบอลยูโรที่ผ่านมา

    ปีี ชนะเสิศ รองชนะเสิศ อันดับ 3
    2008สเปนเยอรมันรัสเซีย / ตุรกี
    2004กรีซโปรตุเกสเนเธอร์แลนด์ / สาธารณรัฐเช็ก
    2000ฝรั่งเศสอิตาลีเนเธอร์แลนด์ / โปรตุเกส
    1996เยอรมันสาธารณรัฐเช็กฝรั่งเศส / อังกฤษ
    1992เดนมาร์กเยอรมันเนเธอร์แลนด์ / สวีเดน
    1988เนเธอร์แลนด์สหภาพโซเวียตอิตาลี / เเยอรมนีตะวันตก
    1984ฝรั่งเศสสเปนเดนมาร์ก / โปรตุเกส
    1980เเยอรมนีตะวันตกเบลเยียมเชโกสโลวะเกีย
    1976เชโกสโลวะเกียเเยอรมนีตะวันตกเนเธอร์แลนด์
    1972เเยอรมนีตะวันตกสหภาพโซเวียตเบลเยียม
    1968อิตาลียูโกสลาเวียอังกฤษ
    1964สเปนสหภาพโซเวียตฮังการี
    1960สหภาพโซเวียตยูโกสลาเวียเชโกสโลวะเกีย