หน้าแรก - ข่าว - บาโลเบิ้ล!อัซซูรี่เขี่ยเบียร์ร่วง2-1ลิ่วชิงกระทิง : ยูโร'12
บาโลเบิ้ล!อัซซูรี่เขี่ยเบียร์ร่วง2-1ลิ่วชิงกระทิง : ยูโร'12
Posted:29/06/2012

ฟุตบอล ยูโร 2012

รอบรองชนะเลิศ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2555

เยอรมัน 1      -       2 อิตาลี

 


สนาม : เนชั่นแนล สเตเดี้ยม, วอร์ซอ โปแลนด์     ผู้ชม : 55,540 คน
 
         เกมรอบตัดเชือกศึก ยูโร 2012 คู่สอง ระหว่าง ทีมชาติเยอรมนี ปะทะ ทีมชาติอิตาลี โดยสถิติการเจอกันของสองชาตินี้ในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย 7 ครั้ง "อินทรีเหล็ก" ไม่เคยชนะ "อัซซูรี่" ได้เลยและเป็นการปราชัยถึง 3 เกม
 
         "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน สร้างสถิติใหม่ชนะรวด 15 เกมในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เกมนี้ โยอัคคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ตัดสินใจใช้ โทนี่ โครส ลงสนามแทน โธมัส มุลเลอร์ ขณะที่กองหน้าตัวเป้าจะกลับมาใช้ มาริโอ โกเมซ ลงล่าตาข่ายเหมือนเคย
 
         ด้าน "อัซซูรี่" อิตาลี เกมนี้หมดสิทธิ์ใช้งาน คริสเตียน มาจโจ้ วิงแบ็กสังกัด นาโปลี ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบโควตา ขณะที่ อินยาซิโอ อบาเต้ ก็ยังมีอาการบาดเจ็บ ข่าวดีคือ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังจอมแกร่งฟิตกลับคืนทัพช่วยทีมได้ในเกมนี้

 

     เริ่มเกมครึ่งแรก อิตาลี เป็นฝ่ายเขี่ยก่อน แต่เป็นเยอรมัน ได้ลุ้นก่อนในนาทีที่ 5 จากจังหวะเตะมุมของโทนี่ โครส เปิดไปหน้าประตู ถึง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ ได้แป บอลรอดตัว จานลุยจิ บุฟฟ่อน ไปแล้ว แต่เป็นอันเดรีย ปีร์โล่ ที่ยืนคุมเสาสกัดไว้ได้ ก่อนที่บอลจะกระดอนมาเข้ามือบุฟฟ่อนตะครุบเอาไว้ได้

     นาทีที่ 12 เป็นทัพอินทรีเหล็ก ได้เสียวอีก เมื่อ ซามี่ เคดิร่า พาบอลขึ้นมาก่อนไหลไปทางขวาให้ เยโรม บัวเต็ง ตบเข้ามาหน้าประตูจังหวะเดียว บุฟฟ่อน พุ่งปัดไปโดนขาเลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ บอลเกือบเข้าประตูตัวเอง

     ลูกทีมของโยอัคคิม เลิฟ ยังมาเป็นชุด นาทีต่อมา โทนี่ โครส ได้ส่องไกล ประมาณ 20 หลา ด้วยซ้ายเต็มๆ บุฟฟ่อน ต้องออกแรงทุบออกไป

     นาทีที่ 17 พลพรรคอัซซูรี่ ตอบโต้มาบ้าง และเป็น ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ ได้กดด้วยขวาบริเวณหัวกระโหลก บอลกระดอนตกพื้น แต่ไม่ผ่านมือมานูเอล นอยเออร์

 
     จากนั้นนาทีเดียว คราวนี้เป็น อันโตนิโอ คาสซาโน่ ดาวยิงเอซี มิลาน ได้ซัดไกลร่วม 25 หลา ด้วยขวาบอลโค้งจะเสียบเสา แต่นอยเออร์ ตะครุบไว้ได้เหนียวหนึบ




     อิตาลี กดดันอยู่สักพัก จนถึงนาทีที่ 20 ก็ได้ประตูออกนำจนได้ 1-0 จากจังหวะที่ อันโตนิโอ คาสซาโน่ ได้บอลทางซ้าย ก่อนจะพลิกหลบผู้เล่นเยอรมันถึงสองคน แล้วตักบอลด้วยซ้ายไปเสาแรก ถึงหัว มาริโอ บาโลเตลลี่ ขึ้นโขกเข้าไปไม่เหลือ

     หลังเสียประตูเยอรมัน เริ่มบุกเข้าใส่อีกครั้ง นาทีที่ 27 มาริโอ โกเมซ พักบอล ก่อนจะไหลให้ เมซุต โอซิล ได้ยิงหน้ากรอบเขตโทษ แต่บอลไม่แรงเท่าไหร่ บุฟฟ่อน พุ่งรับไว้ได้ไม่ยาก

     นาทีต่อมาซามี่ เคดิร่า มิดฟิลด์ สโมสรเรอัล มาดริด ได้พักบอลด้วยอก ก่อนจะซัดด้วยขวาแบบไม่จับ กว่า 30 หลา บอลพุ่งแรงจะเสียบเสาอยู่แล้ว แต่เป็นบุฟฟ่อน ที่บินปัดออกไปได้




     แต่กลับเป็นทัพอิตาลี ที่มาได้ประตูออกนำไปเป็น 2-0 ในนาทีที่ 36 จากจังหวะสวนกลับ ที่ ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ วางบอลยาวกว่าครึ่งสนามให้ มาริโอ บาโลเตลลี่ ได้บอลหลุดเดี่ยว ก่อนจะลากไปกดด้วยขวาเต็มๆ บนเส้นเขตโทษ บอลเสียบตาข่ายเข้าไปอย่างสวยงาม โดยที่มานูเอล นอยเออร์ ได้แค่มอง

     และเป็น บาโลเตลลี่ ที่มาโดนใบเหลืองแรกของเกม หลังจากถอดเสื้อ ฉลองประตูที่สองของตนเองในเกมนี้

     จากนั้นช่วงเวลาที่เหลือแม้ขุนพลเมืองเบียร์พยายามจะทวงประตูคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย จบ 45 นาทีแรก เป็น อิตาลี นำ เยอรมัน 2-0

       เปิดฉากครึ่งหลัง เยอรมัน จัดการแก้เกมทันที โดยเปลี่ยนทีเดียวสองคนรวด ส่ง มาร์โค รอยส์ กับ มิโรสลาฟ โคลเซ่ ลงสนามมาแทน ลูคัส โพดอลสกี้ และ มาริโอ โกเมซ

     ทัพอินทรีเหล็กบุกใส่ทันที นาทีที่ 48 ก็ได้ลุ้น เมื่อมาร์โค รอยส์ ที่เพิ่งลงมาใหม่ ได้จังหวะยิงในกรอบเขตโทษด้วยซ้ายที่เสาแรก แต่บอลเบาไปเข้ามือบุฟฟ่อน รับสบาย

     นาทีต่อมา ฟิลิปป์ ลาห์ม เติมขึ้นมาทำชิ่งกับ โทนี่ โครส ก่อนกัปตันทีมชาติเยอรมัน จะได้แปเน้นๆด้วยขวา บริเวณเส้นเขตโทษ บอลลอยโด่งข้ามคานไปอย่างหน้าเสียดาย 


     ถึงนาทีที่ 57 เป็นอิตาลี ที่ทำการเปลี่ยนตัวบ้าง โดยส่ง อเลสซานโดร เดียมานติ ลงสนามมาแทน อันโตนิโอ คาสซาโน่   

     อิตาลี นานๆจะบุกมาที นาทีที่ 60 มาริโอ บาโลเตลลี่ ได้บอลทางขวา ก่อนจะตัดเข้าใน แล้วได้จังหวะซัดด้วยขวา แต่บอลติดไซด์โป้งเลียวผ่านหน้าประตูไป

 
     นาทีต่อมา อิตาลี มาโดนใบเหลืองที่สองของทีม เมื่อ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ไปเตะใส่ โทนี่ โครส บริเวณหน้ากรอบเขตโทษ

 
     และจังหวะฟรีคิกนั้นเอง ระยะประมาณ 25 หลา มาร์โค รอยส์ รับอาสาปั่นด้วยขวา บอลจะเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่เป็น บุฟฟ่อน ที่พุ่งปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด


      นาทีที่ 63 ทัพอัซซูรี่ เปลี่ยนตัวคนที่สอง ส่งติอาโก้ ม็อตต้า ลงมาแทน ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่

     อิตาลี มาได้ลุ้นอีกครั้ง ในนาทีที่ 67 เมื่ออเลสซานโดร เดียมานติ แทงให้ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ้ หลุดไปยิงแบบไม่จับด้วยขวา บอลเฉียวเสาแรกออกไปนิดเดียว

     นาทีที่ 70 อิตาลี มาเปลี่ยนตัวคนสุดท้าย เมื่อ มาริโอ บาโลเตลลี่ ผู้เหมาสองประตูในเกมนี้มีอาการบาดเจ็บออก แล้วส่ง อันโตนิโอ ดิ นาตาเล่ ลงมาแทน

     นาทีต่อมาเยอรมัน แก้เกมคนสุดท้ายบ้าง ถอด เยโรม บัวเต็ง กองหลังออก แล้วส่งโธมัส มุลเลอร์ ดาวเตะบาเยิร์น มิวนิค ลงสนามแทน

     และแม้นักเตะแดนมะกะโรนีจะครองบอลได้น้อยกว่า แต่บุกมาแต่ล่ะครั้งก็ได้เสียวตลอด นาทีที่ 75 เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ้ ได้บอลในกรอบเขตโทษด้านขวา ก่อนจะได้จังหวะซัดเน้นๆ บอลถากเสาสองออกไปนิดเดียว

     อิตาลี สวนกลับมาแต่ละครั้ง ได้ลุ้นตลอด นาทีที่ 82 อันโตนิโอ ดิ นาตาเล่ ได้บอลหลุดเดี่ยวมาคนเดียว แต่ยิงเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย

     นาทีที่ 84 ดานิเอเล่ เด รอสซี่ มาโดนใบเหลืองอีกคน หลังไปทำฟาวล์ใส่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์

     และนาทีที่ 89 ติอาโก้ ม็อตต้า ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ก็มาโดนเหลืองอีกคน เมื่อไปตัดเกม ชไวน์สไตเกอร์
 
     ทัพอินทรีเหล็ก โหมบุกนัก นาทีสุดท้าย มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ เติมเกมขึ้นมาได้ยิงจ่อๆ ที่เสาแรก แต่ก็ติดเซฟของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน รวมถึงจังหวะยิงไกลของ เมซุต โอซิล ก็หลุดเสาออกหลังไป

 
     แต่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เยอรมัน ก็มาได้ลูกที่จุดโทษ จากจังหวะแฮนด์บอลของ เฟเดริโก้ บัลซาเร็ตติ และเป็น เมซุต โอซิล รับหน้าที่ยิงเข้าไปไม่เหลือ ไล่มาเป็น 1-2


      ช่วงท้าย เกมเริ่มหนักขึ้น มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ มาโดนใบเหลืองอีกราย เมื่อไปทำฟาวล์ใส่ อันเดรีย บาร์ซาญี่ แล้วไม่พอใจคำตัดสิน

 
     จากนั้นแม้เยอรมันจะลุยหนัก มานูเอล นอยเออร์ ต้องเติมขึ้นมาในจังหวะได้ลูกเตะมุม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จบ 90 นาที เป็น อิตาลี ที่เอาชนะ เยอรมัน ไปได้ 2-1 เป็นการตอกย้ำของ อัซซูรี่ ที่ไม่เคยแพ้ อินทรีเหล็ก ในรายการใหญ่เป็นนัดที่ 8 ติดต่อกันแล้ว ทำให้ อัซซูรี่ ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับ สเปน ที่สนาม โอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคมนี้


รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนามในเกมนี้





         เยอรมัน (4-2-3-1) : มานูเอล นอยเออร์, เยโรม บัวเต็ง (โธมัส มุลเลอร์ น.71), มัตส์ ฮุมเมิลส์, โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, ซามี เคดิร่า, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, โทนี่ โครส, เมซุต โอซิล, ลูคัส โพดอลสกี้ (มาร์โก รอยส์ น.46), มาริโอ โกเมซ (มิโรสลาฟ โคลเซ่ น.46)







         อิตาลี (4-4-2) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน, เฟเดริโก้ บัลซาเร็ตติ, อันเดรีย บาร์ซายี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, อันเดรีย ปิร์โล่, เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ, ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ (ติอาโก้ ม็อตต้า น.64), อันโตนิโอ คาสซาโน่ (อเลสซานโดร เดียมานติ น.58), มาริโอ บาโลเตลลี่ (อันโตนิโอ ดิ นาตาเล่ น.70)
 

         ผู้ตัดสิน : สเตฟาน ลันนัว (ฝรั่งเศส)



แมน ออฟ เดอะแมตช์

 



มาริโอ บาโลเตลลี่
(อิตาลี)



        เป็นเกมที่หัวหอกผิวสีเก็บบอลและต่อบอลกับเพื่อนร่วมทีมได้ดีตามแท็กติก และที่สำคัญที่สุดคือการทำสองประตูให้ทีมได้เปรียบตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ก็ต้องด่างพร้อยเล็กน้อย เพราะดันไปถอดเสื้อดีใจจนโดนใบเหลืองจนยิงประตูที่สอง และถูกเปลี่ยนตัวช่วย 20 นาทีสุดท้ายของครึ่งเวลาหลังเจ้าตัวทำท่าไม่พอใจแต่ สต๊าฟและเพื่อนนักแตะต่างเข้ามายินดีเลยทำให้ความห้าวของเจ้าตัวลดตีกรีลงไป ทั้งนี้ บาโล ยังขึ้นนำเป็นดาวซัลโวร่วมของรายการที่ 3 ประตูอีกด้วย 



สถิติหลังเกม
เยอรมัน                                                        อิตาลี
       8                      ยิงเข้ากรอบ                     
       7                   ยิงไม่เข้ากรอบ                   
      13                         ทำฟาวล์                        19 
      14                        ลูกเตะมุม                       
       0                           ล้ำหน้า                          
       54%        เปอร์เซนต์การครองบอล          46% 
       1                         ใบเหลือง                        
       0                           ใบแดง                          0

ข่าวฮอต

ตารางคะแนน
    อันดับ ทีม W/D/L แต้ม

    เมือง&สนามบอล

    ชิงอันดับฟุตบอลยูโรที่ผ่านมา

    ปี ชนะเลิศ รองชนะเลิศ อันดับ 3
    2008สเปนเยอรมันรัสเซีย / ตุรกี
    2004กรีซโปรตุเกสเนเธอร์แลนด์ / สาธารณรัฐเช็ก
    2000ฝรั่งเศสอิตาลีเนเธอร์แลนด์ / โปรตุเกส
    1996เยอรมันสาธารณรัฐเช็กฝรั่งเศส / อังกฤษ
    1992เดนมาร์กเยอรมันเนเธอร์แลนด์ / สวีเดน
    1988เนเธอร์แลนด์สหภาพโซเวียตอิตาลี / เเยอรมนีตะวันตก
    1984ฝรั่งเศสสเปนเดนมาร์ก / โปรตุเกส
    1980เเยอรมนีตะวันตกเบลเยียมเชโกสโลวะเกีย
    1976เชโกสโลวะเกียเเยอรมนีตะวันตกเนเธอร์แลนด์
    1972เเยอรมนีตะวันตกสหภาพโซเวียตเบลเยียม
    1968อิตาลียูโกสลาเวียอังกฤษ
    1964สเปนสหภาพโซเวียตฮังการี
    1960สหภาพโซเวียตยูโกสลาเวียเชโกสโลวะเกีย